
กราโนล่า อาหารสุดฮิตของคนรักสุขภาพ
กราโนล่า ( Granola ) เป็นอาหารที่ทำจากธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่ว ธัญพืชต่างๆ ผลไม้แห้ง และน้ำผึ้งหรือน้ำตาล นำมาผสมกันและอบจนกรอบ ซึ่งกราโนล่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ จึงเป็น อาหารที่ดีต่อสุขภาพ สามารถรับประทานเป็น เมนูอาหาร เช้า ของว่าง หรือรับประทานกับนม โยเกิร์ต หรือน้ำผลไม้ โดย กราโนล่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สามารถรับประทานได้หลากหลายวิธี ผู้ที่สนใจในการดูแลสุขภาพ จึงควรรับประทานกราโนล่าเป็นประจำ
สารอาหารที่ได้จากกราโนล่า มีอะไรบ้าง
เมนูกราโนล่า เป็นอาหารที่ทำจากธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่ว ธัญพืชต่างๆ ผลไม้แห้ง และน้ำผึ้งหรือน้ำตาล นำมาผสมกันและอบจนกรอบ กราโนล่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ดังนี้
- คาร์โบไฮเดรต
กราโนล่าเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนสูง ซึ่งร่างกายสามารถย่อยสลายและดูดซึมได้ช้ากว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว จึงให้พลังงานอย่างยั่งยืนและช่วยให้อิ่มท้องนาน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในกราโนล่าส่วนใหญ่มาจากข้าวโอ๊ต ซึ่งเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพ
- โปรตีน
กราโนล่ามีโปรตีนสูง ซึ่งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายและสร้างกล้ามเนื้อ โปรตีนในกราโนล่าส่วนใหญ่มาจากถั่ว ธัญพืชต่างๆ และผลไม้แห้ง
- ไฟเบอร์
กราโนล่ามีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยดูดซับน้ำและเพิ่มความหนาของลำไส้ ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนานกว่า อาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูก ไฟเบอร์ในกราโนล่าส่วนใหญ่มาจากข้าวโอ๊ต ถั่ว ธัญพืชต่างๆ และผลไม้แห้ง
- วิตามินและแร่ธาตุ
กราโนล่ามีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินอี วิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม และโพแทสเซียม วิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคต่างๆ
ปริมาณสารอาหารในกราโนล่า จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของธัญพืชและส่วนผสมอื่นๆ ที่ใช้ในการ ทำกราโนล่า แต่โดยทั่วไปแล้ว กราโนล่า 1 ถ้วย (ประมาณ 40 กรัม) จะให้พลังงานประมาณ 300-400 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรตประมาณ 50-60 กรัม โปรตีนประมาณ 6-8 กรัม และใยอาหารประมาณ 5-6 กรัม ซึ่งกราโนล่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สามารถรับประทานเป็นอาหารเช้า ของว่าง หรือรับประทานกับนม โยเกิร์ต หรือน้ำผลไม้ อย่างไรก็ตาม กราโนล่าบางชนิดอาจมีน้ำตาลหรือไขมันสูง ควรเลือกรับประทานกราโนล่าที่มีปริมาณน้ำตาลและไขมันต่ำ
ประโยชน์ของกราโนล่า
- ให้พลังงาน กราโนล่าเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนสูง ซึ่งร่างกายสามารถย่อยสลายและดูดซึมได้ช้ากว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว จึงให้พลังงานอย่างยั่งยืนและช่วยให้อิ่มท้องนาน
- ช่วยให้อิ่มท้องนาน กราโนล่ามีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยดูดซับน้ำและเพิ่มความหนาของลำไส้ ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนานกว่าอาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำ
- ดีต่อระบบย่อยอาหาร กราโนล่ามีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูก
- ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด กราโนล่ามีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน กราโนล่ามีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- ช่วยให้ผิวพรรณสดใส กราโนล่ามีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน กราโนล่ามีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น วิตามินซี วิตามินอี และซิลีเนียม

กราโนล่า สามารถรับประทานได้กี่วิธี
วิธีการรับประทานกราโนล่า มีดังนี้
- รับประทานเป็นอาหารเช้า กราโนล่าเป็นอาหารเช้าที่ดีต่อสุขภาพ สามารถรับประทานคู่กับนม โยเกิร์ต หรือน้ำผลไม้ กราโนล่าสามารถช่วยเติมพลังงานให้กับร่างกายในตอนเช้าและช่วยให้อิ่มท้องนาน
- รับประทานเป็นของว่าง กราโนล่าเป็นอาหารว่างที่ดีต่อสุขภาพ สามารถรับประทานแทนขนมหวานหรืออาหารว่างที่มีน้ำตาลหรือไขมันสูง กราโนล่าสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักและช่วยให้อิ่มท้องนาน
- ใช้เป็นส่วนผสมในการทำอาหารหรือขนม กราโนล่าสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการทำอาหารหรือขนมได้หลากหลาย เช่น กราโนล่าบาร์ กราโนล่าชีสเค้ก กราโนล่าปั่น กราโนล่าสามารถช่วยเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการให้กับอาหารหรือขนมต่างๆ
เคล็ดลับในการรับประทานกราโนล่า
- ควรเลือกรับประทานกราโนล่าที่มีปริมาณน้ำตาลและไขมันต่ำ
- หากแพ้ถั่ว ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกราโนล่าที่มีส่วนผสมของถั่ว
- กราโนล่าบางชนิดอาจมีส่วนผสมของเมล็ดพืชที่มีเปลือก ไม่ควรรับประทานหากมีฟันผุหรือมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน
คำแนะนำการกินกราโนล่า สำหรับมือใหม่
สำหรับมือใหม่ในการ กินกราโนล่า ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
- เลือกกราโนล่าที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสีเป็นหลัก กราโนล่าที่ดี ควรมีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสีเป็นหลัก เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเชีย เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วต่างๆ ธัญพืชไม่ขัดสีเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งดีต่อสุขภาพ
- หลีกเลี่ยงกราโนล่าที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือไขมันสูง กราโนล่าบางชนิดอาจมีส่วนผสมของน้ำตาลหรือไขมันสูง ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ ควรเลือกกราโนล่าที่มีปริมาณน้ำตาลและไขมันต่ำ
- ควรรับประทานกราโนล่าในปริมาณที่เหมาะสม กราโนล่าเป็นอาหารที่มีพลังงานสูง จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ประมาณ 1/2-1 ถ้วยต่อวัน
#กราโนล่า #กราโนล่าบาร์ #กราโนล่าดีอย่างไร #ทำไมต้องกินกราโนล่า #วิธีกินกราโนล่า #กราโนล่ากินอย่างไร #กราโนล่าที่ดี #กราโนล่าดีต่อสุขภาพ #ประโยชน์ของกราโนล่า #เมนูกราโนล่า #อาหารว่างกราโนล่า #Granola #กินกราโนล่า #ทำกราโนล่า #รีวิวกราโนล่า #แนะนำกราโนล่า